Tuesday, June 5, 2012

ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556*

ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ได้กำหนดงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นวงเงิน 2.4 ล้านล้านบาท ในขณะที่มีประมาณการรายได้ที่ 2.1 ล้านล้านบาท ดังนั้นการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีจึงเป็นงบประมาณแบบขาดดุล 3 แสนล้านบาท (ลดลงจากปีงบประมาณที่แล้ว 1 แสนล้านบาท) ถึงแม้ว่าในวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรจะได้รับหลักการร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2556 ในวาระที่ 1 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณารายละเอียดโดยคณะกรรมาธิการวิสามัญที่ถูกแต่งตั้งขึ้น ก่อนที่จะถูกนำเสนอให้แก่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2556 ในวาระที่ 2 ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม แต่ผมก็ยังมีประเด็นที่กังวลเกี่ยวกับการรักษาวินัยทางการคลังของรัฐบาลในหลายเรื่อง ซึ่งวันนี้ ผมจะขอกล่าวถึงเพียงสองประเด็นก่อน คือ

หนึ่ง ปีงบประมาณ พ.ศ.2556 จะเป็นปีที่หนี้รัฐบาลและวิสาหกิจถึงกำหนดครบชำระคืนต้นเงินกู้เป็นจำนวนมาก (ไม่นับรวมหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ) โดยหนี้รัฐบาลที่ครบชำระคืนในปีนี้เป็นต้นเงินสูงถึง 1.8 แสนล้านบาท แต่งบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้เพื่อชำระเงินคืนต้นเงินกู้ในส่วนนี้กลับมีเพียง 2.4 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้หากพิจารณาถึงงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่รัฐบาลเคยตั้งไว้เพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ในแต่ละปีจะพบว่า มีสัดส่วนประมาณร้อยละ 2 ของงบประมาณรายจ่ายรวมทั้งหมด (ประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท) การจัดสรรงบประมาณเพื่อคืนต้นเงินกู้จึงไม่มีความสัมพันธกับมูลค่าหนี้ที่ครบชำระคืนในแต่ละปี ในขณะเดียวกัน รัฐบาลที่เข้ามาส่วนใหญ่มักมีการก่อหนี้ใหม่ในแต่ละปีเป็นจำนวนมาก เช่น ในปีงบประมาณ 2556 วงเงินกู้ (ซึ่งคือหนี้ใหม่) เฉพาะในส่วนที่อยู่ภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปีสูงถึง 3 แสนล้านบาท ดังนั้นจึงก่อให้เกิดข้อกังวลหรือความสงสัยว่า การจัดทำงบประมาณเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้ที่ไม่สัมพันธกับต้นเงินกู้ที่ครบชำระและมูลค่าหนี้ใหม่ที่ก่อขึ้นในแต่ละปีแบบนี้ ประเทศจะยังสามารถรักษาวินัยทางการคลังและความสามารถของการชำระคืนเงินกู้ในระยะยาวได้จริงหรือ?

สอง การออก พ.ร.ก. กู้เงินพิเศษไม่ว่าจะเป็น พ.ร.ก. กู้เงินฉุกเฉินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศไทย พ.ศ. 2555 ที่ออกโดยรัฐบาลชุดนี้ 3.5 แสนล้านบาท หรือแม้แต่ พ.ร.ก. กู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ที่ออกโดยรัฐบาลชุดที่แล้ว 4 แสนล้านบาท โดยไม่ต้องนำมาเกี่ยวข้องผูกผันกับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีเช่นนี้ อาจเป็นภัยทางการคลัง (Fiscal risks) ที่ส่งผลร้ายแรงต่อประเทศได้ในระยะยาว เพราะการออกพ.ร.ก. กู้เงินพิเศษเหล่านี้สามารถหลีกเลี่ยงการอยู่ภายใต้กฎการคลัง (Fiscal rules) ต่างๆ ที่มีอยู่ได้ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น พ.ร.บ. การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2552 กำหนดให้ รัฐบาลสามารถกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี และไม่เกินร้อยละ 80 ของงบประมาณที่ตั้งไว้เพื่อชำระคืนเงินต้น ซึ่งในงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 รัฐบาลจะสามารถกู้เงินสูงสุดเพื่อชดเชยการขาดดุลได้สูงสุดไม่เกิน 5.19 แสนล้านบาท ดังนั้นหากพิจารณาเฉพาะร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่รัฐบาลได้ตั้งวงเงินกู้ไว้ 3 แสนล้านบาท แม้จะดูเหมือนว่ายังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ากรอบวงเงินกู้สูงสุดภายใต้ พ.ร.บ. การบริหารหนี้สาธารณะฯ แต่หากเรานำเงินกู้พิเศษที่ออกมาในต้นปีนี้ 3.5 แสนล้านบาท (คิดเฉพาะพ.ร.ก. กู้เงินฉุกเฉินฯ ไม่นับรวม พ.ร.ก. กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ.2555 อีก 5 หมื่นล้านบาท) มาคิดรวมด้วยก็จะพบว่า วงเงินกู้รวมที่รัฐบาลชุดนี้ได้ก่อขึ้นในช่วงปีนี้สูงกว่าวงเงินกู้สูงสุดที่กำหนดไว้ภายใต้ พ.ร.บ. การบริหารหนี้สาธารณะฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

การก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาลเป็นวงเงินมหาศาลที่เกิดขึ้นนี้ แม้ว่าจะสามารถทำได้ภายใต้กฎหมายในปัจจุบัน แต่ก็คงยากที่จะปฏิเสธได้ว่า มีการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของกฎหมาย ซึ่งจะไม่สามารถทำได้หากอยู่ภายใต้การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีโดยปกติ และอาจเป็นอันตรายต่อฐานะทางการคลังของประเทศได้ในระยะยาว ดังนั้นช่องโหว่ของกฎหมายเหล่านี้จึงสมควรถูกกำจัดให้หมดไป และกฎการคลังที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนทางการคลังของประเทศในระยะยาวควรถูกแก้ไขให้ครอบคลุมถึงเงินกู้พิเศษต่างๆ ที่สามารถออกมาได้ แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่า กฎการคลังที่ควรเป็นนั้นจะไม่มีความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ฉุกเฉินทางเศรษฐกิจของประเทศ การอัดฉีดงบประมาณเพื่อกระตุ้นหรือแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในยามฉุกเฉินยังสามารถทำได้ เพียงแต่การจัดทำงบประมาณพิเศษเหล่านี้ควรต้องอยู่ภายใต้กฎการคลังที่ได้นำปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจต่างๆ มาใช้ประกอบในการพิจารณา ซึ่งผมจะขอกล่าวถึงเรื่องนี้ต่อในโอกาสถัดไปครับ


*"ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556" ตีพิมพ์ในคอลัมน์ทันเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์โพสทูเดย์ วันที่ 4 มิ.ย. 2555

Tuesday, May 8, 2012

ร่างกฎหมาย Paying a Fair Tax Share Act of 2012*

หากย้อนเวลากลับไปเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007 นาย Warren Buffet มหาเศรษฐีของโลกได้กล่าวในงานเลี้ยงเพื่อระดมทุนในการเลือกตั้งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคเดโมแครตว่า ปัจจุบันเขาเสียอัตราภาษีเพียงร้อยละ 17.7 ของรายได้ (อย่างถูกต้องตามกฎหมาย) ซึ่งต่ำกว่าอัตราภาษีที่เลขานุการของเขาที่เสียในอัตราร้อยละ 30 สิ่งที่นาย Warren Buffet ได้กล่าวมาในวันนั้น ได้แสดงให้เห็นเป็นอย่างดีถึงความไม่เป็นธรรมของระบบภาษีที่ไม่สามารถทำให้ผู้ที่มีรายได้มาก (หรือผู้ที่มีความสามารถในการจ่ายภาษีสูง) เสียภาษีในอัตราที่สูงกว่าผู้ที่มีรายได้น้อย (หรือผู้ที่มีความสามารถในการจ่ายภาษีต่ำ) ได้

ความล้มเหลวของระบบภาษีดังกล่าว ดูเหมือนจะถูกตอกย้ำอีกครั้งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในปลายปีนี้จากพรรครีพับลิกัน นาย Mitt Rommey ได้เปิดเผยข้อมูลการเสียภาษีที่ผ่านมา โดยเขาและภรรยาจ่ายอัตราภาษีที่แท้จริงเพียงร้อยละ 13.9 ของรายได้ในปี ค.ศ. 2010 และร้อยละ 15.4 ในปี ค.ศ. 2011 ทั้งนี้ตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกาได้กำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีกำไรส่วนเกินทุน (Capital gains tax) เช่น กำไรที่ได้จากการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์สำหรับการลงทุนที่มีระยะเวลาเกิน 1 ปีในอัตราร้อยละ 15 ในขณะที่อัตราภาษีรายได้บุคคลธรรมดาที่ได้รับมาจากเงินเดือนนั้น ขั้นสูงสุดที่จัดเก็บในปัจจุบันอยู่ที่อัตราร้อยละ 35 (ภายใต้กฎหมายลดอัตราภาษีที่ออกมาโดยประธานาธิบดี George W. Bush ในปี ค.ศ. 2001 ซึ่งประธานาธิบดี Barack Obama ได้ต่ออายุกฎหมายฉบับนี้ออกไปจนถึงสิ้นปีนี้) ดังนั้นภายใต้กฎหมายในปัจจุบัน ทั้งนาย Warren Buffet และนาย Mitt Rommey ซึ่งมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการลงทุน จึงเสียภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าผู้ที่มีรายได้จากเงินเดือนเป็นส่วนใหญ่

ปัญหาของระบบภาษีที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ได้เกิดเฉพาะในกรณีของ นาย Warren Buffet และนาย Mitt Rommey แต่เพียงเท่านั้น ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกล้วนประสบปัญหาในลักษณะเดียวกัน ประเทศไทยเองก็ยังไม่มีการจัดเก็บภาษีกำไรส่วนเกินทุน (Capital gains tax) ถึงแม้ในปีที่แล้วจะมีความพยายามนำเสนอให้มีการจัดเก็บภาษี Capital gains แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ นักลงทุนที่มีรายได้หรือกำไรอย่างมหาศาลจากการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ยังคงไม่ต้องเสียภาษี นอกจากนี้ รายได้จากเงินปันผลหรือดอกเบี้ยเงินฝาก นักลงทุนก็สามารถเลือกจ่ายภาษีในอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 10 และร้อยละ 15 ตามลำดับ ซึ่งอาจเป็นอัตราภาษีที่ต่ำกว่าอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่นักลงทุนนั้นต้องจ่าย ดังนั้นเราจึงไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า ระบบภาษีในปัจจุบันของประเทศไทย ยังมีลักษณะที่ล้มเหลว (ตามหลักการภาษีที่ดี) โดยขาดความเป็นธรรม (Fairness) ที่ผู้มีรายได้มากสามารถจ่ายภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าได้

หนึ่งในความพยายามที่จะแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมของระบบภาษีดังกล่าว ดูเหมือนจะเริ่มถูกนำเสนอและผลักดันในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดี Barack Obama ได้นำเสนอร่างกฎหมาย Paying a Fair Tax Share Act of 2012 ออกมา (หรือที่ถูกเรียกว่า “the Buffet Rule”) แม้ว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการช่วยลดการขาดดุลงบประมาณที่เกิดขึ้น แต่ก็ถูกกล่าวถึงว่าสามารถช่วยบรรเทาหรือแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมของระบบภาษีที่มีอยู่เดิมได้ โดยกำหนดให้ผู้ที่มีรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย (Adjusted gross income) หลังหักเงินบริจาคเพื่อการกุศล จะต้องจ่ายภาษีส่วนเพิ่ม (Surtax) (เพิ่มเติมไปจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีอื่นๆ ที่ยังคงต้องจ่ายอยู่) ในส่วนของรายได้ที่เหลือเกิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐเป็นต้นไป ในอัตราขั้นต่ำร้อยละ 30 (แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ถูกวิพากย์วิจารณ์อย่างหนักในหลายเรื่อง เช่น ผู้ที่มีรายได้สูงและจ่ายภาษีในอัตราที่สูงกว่าร้อยละ 30 อยู่แล้ว ก็จะไม่ถูกกระทบจากกฎหมายฉบับนี้ รวมถึงอาจทำให้เกิดการบิดเบือนจากการลงทุนขึ้น)

แม้ว่าในวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ถูกนำเสนอในสภาสูงของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ผลปรากฎว่า สมาชิกสภาสูงที่ให้การสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้มีเพียง 51 เสียง จากทั้งหมด 100 เสียง ซึ่งไม่เพียงพอ (ต้องการเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 3 ใน 5 หรือ 60 เสียง) ที่จะทำให้ร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสู่กระบวนการจัดทำกฎหมายต่อไปได้ แต่ประเด็นความไม่เป็นธรรมของระบบภาษีในปัจจุบันก็ยังคงอยู่ และก็จะกลายเป็นประเด็นร้อนของการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในปีนี้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในครั้งนี้ ทั้งนาย Barack Obama จากพรรคเดโมแครต กับนาย Mitt Rommey จากพรรครีพับลิกัน ต่างมีนโยบายภาษีที่เรียกว่าตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง เช่น นาย Barack Obama จะผลักดันนโยบายไปในแนวทางเดียวกันกับร่างกฎหมาย Paying a Fair Tax Share Act of 2012 ที่ออกมา โดยจะไม่ต่ออายุกฎหมายลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ออกมาโดยประธานาธิบดี George W. Bush ออกไปอีก (สิ้นสุดเดือนธันวาคมปีนี้) อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาขั้นสูงสุดจะถูกปรับเพิ่มกลับมาที่ร้อยละ 39.6 (จากปัจจุบันที่อัตราร้อยละ 35) นอกจากนี้ ยังมีนโยบายที่จะเพิ่มอัตราภาษี Capital gains tax จากร้อยละ 15 มาเป็นร้อยละ 20 ในขณะที่ นาย Mitt Rommey เสนอให้มีการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทุกอัตราลงจากอัตราเดิมร้อยละ 20 และจะเพิ่มข้อยกเว้นสำหรับการจัดเก็บภาษี Capital gains tax เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยไม่ต้องเสียภาษีในส่วนนี้

แม้ว่านโยบายที่ออกมาเหล่านี้ ส่วนหนึ่งจะมีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อใช้ในการหาเสียง แต่ก็น่าดีใจไม่น้อยที่ปัญหาความไม่เป็นธรรมของระบบภาษีจะไม่ถูกซุกเก็บไว้อีกต่อไป และเมื่อใดก็ตามที่สังคมมองเห็นและให้ความสำคัญกับปัญหานี้มากขึ้น ผมเชื่อว่า แรงกดดันจากสังคมจะช่วยผลักดันให้ผู้กำหนดนโยบาย โดยเฉพาะนักการเมือง ต้องเร่งนำเสนอนโยบายที่ใช้ในการแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรมของระบบภาษีที่มีมาอย่างยาวนานนี้ได้อย่างแน่นอน


*"ร่างกฎหมาย Paying a Fair Tax Share Act of 2012" ตีพิมพ์ในคอลัมน์ทันเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์โพสทูเดย์ วันที่ 7 พ.ค. 2555

Monday, April 2, 2012

รายจ่ายภาษี (Tax expenditure) ที่ไม่ควรถูกมองข้าม*

ดูเหมือนว่าในช่วงเวลานี้ รัฐบาลได้เริ่มตระหนักถึงผลของมาตรการต่างๆ ที่กำลังถูกเร่งผลักดันออกมานั้น จะทำให้รายได้ภาษีที่รัฐสามารถจัดเก็บลดลงเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงจากอัตราร้อยละ 30 มาที่อัตราร้อยละ 23 ในปีนี้ และอัตราร้อยละ 20 ในปีหน้า ซึ่งจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ในปี พ.ศ. 2555 ประมาณ 45,000 ล้านบาท (ไม่นับรวมถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการปรับค่าแรง ที่จะทำให้ผู้ประกอบการส่วนหนึ่งซึ่งไม่สามารถปรับตัวได้ ต้องออกจากธุรกิจไป) การยกเว้นภาษีบ้านหลังแรกหรือรถคันแรก การออกมาตรการช่วยเหลือทางภาษีเพื่อช่วยเหลือน้ำท่วม และการหารายได้มาชดเชยภาษีน้ำมันดีเซลที่ส่งผลกระทบต่อรายได้อีกประมาณเดือนละ 9 พันล้านบาท (หรือปีละประมาณ 81,000 ล้านบาท) คงเป็นเรื่องที่น่าหนักใจไม่น้อยสำหรับหน่วยงานต่างๆ ในกระทรวงการคลังที่จะต้องเร่งนำเสนอแนวทางการปรับโครงสร้างภาษีต่างๆ ที่รัฐบาลสามารถรับได้ เพื่อชดเชยรายได้ภาษีที่หายไปในส่วนนี้

หากพูดถึงการปรับโครงสร้างภาษีของประเทศไทย คงมีหลายเรื่องที่น่าจะพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นการปรับภาษีสรรพาสามิต ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือแม้แต่ภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ในวันนี้ ผมขอกล่าวถึงเฉพาะในส่วนของรายจ่ายภาษี (Tax expenditure) ซึ่งคือรายได้ภาษีที่รัฐสูญเสียไปจากการดำเนินมาตรการในรูปแบบของการให้การยกเว้นหรือการลดหย่อนทางภาษี โดยในแต่ละปีรัฐมีรายจ่ายภาษีที่สูงมาก แต่กลับไม่ค่อยได้รับความสนใจจากรัฐบาลในการพิจารณาปรับลดสักเท่าไหร่นัก

จากรายงานภาวะเศรษฐกิจและการคลัง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 มีข้อมูลรายจ่ายภาษีที่น่าสนใจ โดยประเทศไทยสูญเสียรายได้จากการยกเว้นภาษีเฉพาะรายในรูปแบบต่างๆ ในปีงบประมาณ 2555 สูงถึง 283,959 ล้านบาท (หากพิจารณากันให้ถูกต้องแล้ว รายจ่ายภาษีที่เกิดขึ้นจริงจะสูงกว่านี้มาก เพราะต้องรวมถึงค่าลดหย่อนทางภาษีอื่นๆ เช่น ค่าลดหย่อนทางภาษีสำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งไม่ได้ถูกนำมาคิดรวมในรายงานฉบับนี้) ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว (กว่าร้อยละ 98) เป็นผลมาจากการออกมาตรการส่งเสริมการลงทุน ที่ให้การยกเว้นหรือลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีศุลกากรแก่กิจการ ดังนั้นเพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ง่ายว่ารายจ่ายภาษีหรือรายได้ภาษีที่สูญเสียไปของประเทศไทยนั้นมีขนาดมากน้อยเพียงใด ผมขออนุญาตนำตัวเลขในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 มาประกอบ โดยรัฐมีประมาณการรายได้สุทธิ 1.98 ล้านล้านบาท มาจากรายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 254,000 ล้านบาท และรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคล 599,800 ล้านบาท เราจะเห็นได้ว่า รายได้ภาษีที่รัฐสูญเสียไปนั้นสูงกว่ารายได้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่รัฐสามารถจัดเก็บได้ทั้งปี และถ้าหากคิดเป็นสัดส่วนรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลที่สูญเสียไปต่อรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งหมดที่ควรจัดเก็บได้พบว่า สูงถึงร้อยละ 32 กันเลยทีเดียว

ในรายงานภาวะเศรษฐกิจและการคลังฉบับดังกล่าว ยังได้ประเมินถึงประโยชน์หรือผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ประเทศไทยจะได้รับจากการยกเว้นภาษีเฉพาะรายในรูปแบบต่างๆ โดยจะก่อให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นคิดเป็นมูลค่า 85,188 ล้านบาท (คิดเป็นมูลค่าร้อยละ 30 ของรายได้ภาษีที่รัฐสูญเสียไปในปี 2555) การจ้างงานภายในประเทศเพิ่มขึ้น 56,223 คน (มูลค่าการขาดรายได้ที่รัฐสูญเสียต่อจำนวนการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นมีค่าประมาณ 5 ล้านบาทต่อคน) และทำให้อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.17

จริงๆ แล้วจากตัวเลขดังกล่าวคงไม่เพียงพอที่จะตอบได้ว่า ประเทศไทยได้รับประโยชน์คุ้มค่าจากการยกเว้นภาษีเฉพาะรายในรูปแบบต่างๆ หรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่ปราฎสามารถแสดงให้เห็นได้ว่า รัฐได้สูญเสียรายได้ภาษีที่ควรจัดเก็บได้เป็นจำนวนมหาศาล ในขณะที่ประโยชน์ที่ได้รับนั้นกลับยังดูไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่า การยกเว้นภาษีเฉพาะราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากมาตรการส่งเสริมการลงทุน จะไม่มีความสำคัญหรือสมควรถูกยกเลิกไปทั้งหมด ตามทฤษฏีทางเศรษฐศาสตร์ การใช้มาตรการส่งเสริมการลงทุนก็มีความสมเหตุสมผล หากกิจการที่ได้รับการส่งเสริมสามารถก่อให้เกิด หนึ่ง การถ่ายทอดความรู้ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ (Knowledge spillovers/Transfer of technology) แก่ผู้ประกอบการอื่นๆ ภายในประเทศ ซึ่งหลักการนี้จะสอดคล้องกับที่ ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร ประธานสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ออกให้สัมภาษณ์ว่า ประเทศไทยควรเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรม โดยเน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต และนำเสนอมาตรการจูงใจทางภาษีแก่บริษัทต่างๆ ที่ลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา สอง แรงจูงใจให้กิจการเข้าไปลงทุนในพื้นที่เป้าหมาย (ที่ต้องการรับการพัฒนาเป็นอย่างมาก) และก่อให้เกิดการจ้างงานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นในพื้นที่โดยในกรณีนี้ ผลของการส่งเสริมการลงทุนจะสามารถช่วยกระจายความเจริญทางอุตสาหกรรม (Industrial decentralization) ไม่ให้กระจุกตัวเฉพาะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ สาม การแข่งขันในตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งจะผลักดันให้ผู้ประกอบการต่างๆ เร่งเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและแข่งขันผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและมีความหลากหลายเพื่อสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น

การยกเว้นภาษีเฉพาะรายในรูปแบบต่างๆ โดยเฉพาะที่เกิดจากมาตรการส่งเสริมการส่งลงทุนนั้น จึงควรกำหนดเป้าหมายในการส่งเสริมโดยพิจารณาจากผลประโยชน์ที่แท้จริงที่ประเทศจะได้รับจากการลงทุนนั้นเป็นสำคัญ ไม่ใช่ด้วยการกำหนดเป้าหมายที่พิจารณาจากมูลค่าเม็ดเงินลงทุนที่เข้ามาหรือจำนวนโครงการที่ได้รับการส่งเสริมแต่เพียงเท่านั้น คงจะดีไม่น้อยหากการนำเสนอแนวทางการปรับโครงสร้างภาษีต่างๆ ที่จะถูกนำเสนอให้รัฐบาลพิจารณาต่อไปนั้น ครอบคลุมไปถึงการลดรายจ่ายภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศไทยอย่างคุ้มค่า

*"รายจ่ายภาษี (Tax expenditure) ที่ไม่ควรถูกมองข้าม" ตีพิมพ์ในคอลัมน์ทันเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์โพสทูเดย์ วันที่ 2 เม.ย. 2555

Monday, February 6, 2012

สบายใจได้จริงหรือ? กับการแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ*

การแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 1.14 ล้านๆ บาทที่ออกมานั้น โดยการออก พ.ร.ก. ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ พ.ศ. 2555 ที่รัฐบาลได้กำหนดให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ เป็นพาหนะในการชำระหนี้ และมีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เป็นผู้ขับเคลื่อน ซึ่งทำหน้าที่ในการบริหารจัดการหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ แต่เพียงเท่านั้น ทั้งนี้ แหล่งที่มาของเงินที่จะนำมาใช้ในการชำระหนี้นั้นจะมาจาก หนึ่ง การเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากธนาคารพาณิชย์ โดยจะเก็บค่าธรรมเนียมจากเงินนำส่งไม่เกินร้อยละ 1 ของฐานเงินฝาก (ในกรณีที่ต้องการเก็บเต็มเพดาน) จากเดิมที่ค่าธรรมเนียมนำส่งสถาบันคุ้มครองเงินฝากอยู่ที่ร้อยละ 0.4 สอง เงินผลประโยชน์จากบัญชีทุนสำรองเงินตรา รวมถึงสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ และสาม กำไรสุทธิของธปท.

ข้อสรุปของวิธีการชำระหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ในครั้งนี้ อย่างน้อยที่สุด ได้สร้างความสบายใจให้แก่หน่วยงานภาครัฐ ทั้งกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงรัฐบาล โดย ธปท. ก็สบายใจ ที่ยังสามารถรักษาวินัยทางการเงินไว้ได้ ซึ่งรวมถึงการดำเนินนโยบายทางการเงินอย่างเป็นอิสระและไม่ต้องใช้การพิมพ์ธนบัตรเพิ่มเพื่อใช้ในการชำระหนี้สาธารณะที่เกิดขึ้น ในขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังก็สบายใจ ที่จะไม่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดจากหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ โดยที่ผ่านมา ภาระดอกเบี้ยจ่ายในแต่ละปีสูงถึง 4-5 หมื่นล้านบาท เมื่อคิดรวมดอกเบี้ยจ่ายของหนี้ก้อนหนี้ที่ผ่านมาทั้งหมด กระทรวงการคลังได้ชำระไปแล้วเป็นเงินกว่า 6.7 แสนล้านบาท และเมื่อดอกเบี้ยจ่ายที่เคยเป็นภาระทางงบประมาณของกระทรวงการคลังหรือรัฐบาลหายไป (จากการเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากธนาคารพาณิชย์) ภาระหนี้ต่องบประมาณของก็จะลดลง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว รัฐบาลก็สบายใจ ที่จะสามารถก่อหนี้สาธารณะครั้งใหม่ได้ โดยยังสามารถรักษาวินัยทางการคลังที่ถูกกำหนดไว้ในกรอบความยั่งยืนทางการคลังไว้ได้ (เช่น กำหนดให้ยอดหนี้สาธารณะคงค้างต่อ GDP ไม่เกินร้อยละ60 และภาระหนี้ต่องบประมาณกำหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 15)

แม้ว่าทุกหน่วยงานภาครัฐจะสบายใจกับแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ที่ออกมาในครั้งนี้ ผมเองกลับมีข้อกังวลใจและเป็นห่วงในหลายเรื่อง ซึ่งวันนี้ ผมขอกล่าวถึงข้อกังวลใจในสามประเด็นก่อน

หนึ่ง หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ซึ่งเป็นหนี้สาธารณะที่รัฐบาล (ในอดีต) ได้ก่อขึ้น (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลหรือความจำเป็นอะไรก็แล้วแต่) การใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ด้วยวิธีการผลักภาระหนี้ที่รัฐบาลก่อขึ้นด้วยการบังคับให้มีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจากธนาคารพาณิชย์ เป็นวิธีการที่ถูกต้องแล้วจริงหรือ? เพราะท้ายที่สุด ธนาคารพาณิชย์ก็คงไม่ใช่ผู้รับภาระค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นแต่เพียงผู้เดียว ภาระที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่คงถูกผลักกลับมาให้กับประชาชนในรูปแบบต่างๆ เช่น ดอกเบี้ยเงินฝากที่ประชาชนจะได้รับลดลง หรือดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งที่ประชาชนก็ทำหน้าที่เป็นผู้จ่ายภาษีให้แก่รัฐบาลอยู่แล้ว หรือกล่าวได้ว่า ประชาชนได้ทำหน้าที่จ่ายภาษีให้แก่ภาครัฐไปแล้ว แต่เมื่อภาครัฐต้องการใช้เงินมากกว่ารายรับที่ตนมีจนจำเป็นต้องไปก่อหนี้สาธารณะขึ้น แทนที่รัฐบาลจะใช้วิธีการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลงหรือวิธีการหารายได้เพิ่ม กลับโยนภาระการชำระหนี้ของตนไปยังธนาคารพาณิชย์และประชาชน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว รัฐบาลดูจะไม่มีความรับผิดชอบกับหนี้สินที่ตัวเองได้เคยก่อขึ้นกันเสียเลย

นอกจากนี้ การใช้วิธีการชำระหนี้ของรัฐบาลด้วยวิธีการที่ไม่ปกติเช่นนี้ (แทนที่จะทำผ่านระบบการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี) ในอนาคตจะกลายเป็นแนวทางหรือบรรทัดฐานที่รัฐบาลต่อๆไปเลือกใช้หรือไม่? ถ้าหากรัฐบาลสามารถก่อหนี้ได้โดยหลีกเลี่ยงการเป็นภาระผูกพันทางงบประมาณ จนสามารถก่อหนี้ใหม่เพิ่มขึ้นไปได้เรื่อยๆ แม้จะดูเหมือนว่า รัฐบาลยังสามารถรักษากรอบวินัยทางการคลังไว้ได้ แต่เนื่องจากระดับหนี้สาธารณะของประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการขาดวินัยหรือความรับผิดชอบในการสร้างหนี้และชำระหนี้ของรัฐบาล สถานะทางการคลังของประเทศไทยที่แท้จริงคงอยู่ในอันตราย และอาจพัฒนาจนเป็นต้นตอของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหม่ก็เป็นได้

สอง การใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ด้วยวิธีการเก็บค่าธรรมเนียมจากสถาบันทางการเงินในครั้งนี้ ได้มีการคาดการณ์ไว้ว่า จะสามารถชำระหนี้เงินต้นได้หมดภายในเวลาประมาณ 25 ปี (ซึ่งอาจจะเร็วกว่านั้น หากฐานเงินฝากในระบบเพิ่มขึ้น) โดยหากค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 1% ธปท. จะสามารถเก็บค่าธรรมเนียมได้ประมาณ 77,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาจ่ายดอกเบี้ยได้ 50,000 ล้านบาท และเงินต้นได้ 27,000 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาถึงช่วงเวลาที่ใช้ในการชำระหนี้จนหมด ซึ่งค่อนข้างยาวนาน (25 ปี) กับอัตราดอกเบี้ยจ่ายในปัจจุบันที่นับว่าค่อนข้างต่ำเมื่อพิจารณาทั้งช่วงระยะเวลา 25 ปี หากอัตราดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวสูงขึ้นเมื่อใด ดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดขึ้นจากหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ก็จะเพิ่มสูงขึ้น และก็อาจเป็นไปได้ว่า ดอกเบี้ยจ่ายจะเกินค่าธรรมเนียมที่ ธปท. สามารถจัดเก็บได้ หรือระยะเวลาในการชำระหนี้เงินต้นจนหมดจะเกินกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้แต่แรก ดังนั้นแนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยในระยะยาวที่จะต้องปรับตัวสูงขึ้น ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความสามารถในการชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ และรัฐบาลจะมีวิธีในการบริหารจัดการอย่างไร ในการชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูได้จนหมด?

สาม ระยะเวลาที่ใช้ในการชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ที่คาดการณ์ไว้นานถึง 25 ปีนั้น เป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างยาวนานจนเกินไปหรือไม่? เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ประเทศไทยจะไม่ประสบกับปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหม่ขึ้นมาอีก เพราะถ้าหากเกิดขึ้น รัฐบาลก็คงมีความจำเป็นที่จะต้องก่อหนี้ในลักษณะเดียวกันกับหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ที่เกิดจากเข้ารับภาระหนี้จากภาครัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนของรัฐบาล ในขณะที่หนี้เก่าก็ยังไม่หมดสิ้น ซึ่งจากข้อมูลที่พบในงานศึกษาที่ผ่านมา(*) ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1970-2009 โอกาสที่ประเทศกำลังพัฒนาจะประสบปัญหาวิกฤติหนี้ภายนอกประเทศสูงถึงร้อยละ 25.3 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉลี่ยจะประสบปัญหาวิกฤติหนี้ 1 ครั้งในทุก 4 ปี กันเลยทีเดียว

ถ้าหากรัฐบาลมีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ อย่างแท้จริง (ไม่ใช่มีความตั้งใจแต่เพียงการหากทางออกในการก่อหนี้ใหม่เท่านั้น) ระยะเวลาที่ใช้ในการชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ควรถูกปรับลดให้สั้นลงกว่านี้ เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อม หากต้องเผชิญและต่อสู้กับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งนับวันจะยิ่งมีความรุนแรงและรวดเร็วกว่าที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีต

ที่มา
(*) ศาสตรา สุดสวาสดิ์ และประสพโชค มั่งสวัสดิ์ (2554) “วิกฤติหนี้กับกรอบความยั่งยืนทางการคลังของประเทศไทย” งานวิจัยภายใต้โครงการการศึกษานโยบายเพื่อพัฒนาการเศรษฐกิจ สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสส.)

*"สบายใจได้จริงหรือ? กับการแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ" ตีพิมพ์ในคอลัมน์ทันเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์โพสทูเดย์ วันที่ 6 ก.พ. 2555

Tuesday, January 3, 2012

ต้อนรับปีใหม่กับปัญหาหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ*

แม้ว่าปี พ.ศ. 2554 พึ่งจะผ่านพ้นไป และเรากำลังอยู่ในเทศกาลแห่งความสุข ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองต้อนรับปี พ.ศ. 2555 แต่ดูแล้วการเริ่มต้นปีใหม่ปีนี้ของประเทศไทย น่าจะเริ่มต้นด้วยความวุ่นวายจากปัญหาที่เรื้อรังและยาวนานทางด้านการเงินการคลังของประเทศ นั่นคือ ปัญหาหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institution Development Fund, FIDF) ที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งหรือวิกฤตสถาบันทางการเงินในช่วงปี พ.ศ.2540 ที่รัฐบาล โดยกระทรวงการคลังเข้าไปช่วยแบกรับภาระของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ โดยการออกพันธบัตร FIDF 1-3 เพื่อชดใช้ความเสียหายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ (ในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2541-2545) รวมประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งในวันนี้ ยอดหนี้ FIDF ยังคงเหลือประมาณ 1.14 ล้านล้านบาท

ท่านผู้อ่านหลายท่านคงแปลกใจว่า เพราะเหตุใด เวลาผ่านไปเกิน 10 ปี ยอดหนี้ FIDF ถึงได้ลดลงจากเดิมเพียงเล็กน้อย เพียงประมาณ 2 แสนล้านบาท ในขณะที่ประเทศไทยต้องจ่ายดอกเบี้ยไปแล้วกว่า 6 แสนล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจาก ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ได้มีข้อตกลงร่วมระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับกระทรวงการคลังที่กำหนดให้ หนี้ FIDF ธปท. จะเป็นผู้ชำระคืนเงินต้น และกระทรวงการคลังจะเป็นผู้ชำระดอกเบี้ย ข้อตกลงนี้เกิดขึ้นเนื่องจาก มีการมองว่า ธปท. ต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อปัญหาวิกฤตสถาบันการเงินปีที่เกิดขึ้นในตอนนั้น (จากการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด โดยการเข้าปกป้องค่าเงินบาท) แต่ทั้งนี้ ธปท. จะสามารถชำระเงินต้นได้ ก็ต่อเมื่อผลการดำเนินงานของ ธปท. ในปีนั้นมีกำไร ซึ่งที่ผ่านมา ธปท. ก็ไม่ค่อยมีกำไรที่จะไปจ่ายคืนเงินต้นได้ หนี้ FIDF จึงไม่ค่อยลดลง ในขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละปี ได้กลายเป็นภาระทางงบประมาณที่กระทรวงการคลังต้องแบกรับภาระในแต่ละปีที่สูงถึง 4-5 หมื่นล้านบาท หนี้ FIDF จึงได้กลายเป็นปัญหาระหว่าง ธปท. กับกระทรวงการคลังมาอย่างยืดเยื้อและยาวนาน

โดย ธปท. มองว่า หนี้ที่เกิดขึ้นก้อนนี้เป็นหนี้ภาครัฐ จากการที่รัฐบาลในสมัยนั้นเข้าไปรับประกันหนี้ของสถาบันการเงิน ผ่านกลไกของรัฐซึ่งคือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ นอกจากนี้ ธปท. ก็ไม่ได้มีเงินหรือกำไรที่จะสามารถนำไปใช้ในการชำระคืนเงินต้นได้ หากจะให้ ธปท. รับผิดชอบ ก็อาจจะต้องใช้วิธีการพิมพ์เงิน ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาต่อวินัยทางการเงินของประเทศ หรือการทำให้ทุนของ ธปท. ติดลบเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำลายความน่าเชื่อถือของ ธปท. ในขณะเดียวกัน กระทรวงการคลัง ก็มองว่ายอดหนี้ก้อนนี้ ธปท. จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ตามที่ได้ตกลงกันไว้แต่เดิม แต่ถ้าหากกระทรวงการคลังจะต้องเป็นผู้ชำระคืนเงินต้น ก็คงไม่พ้นต้องทำผ่านระบบงบประมาณ ซึ่งจะมีผลทำให้ Fiscal space หรือ งบประมาณรายจ่ายประจำปีที่เหลือหลังจากตัดรายจ่ายที่ไม่สามารถตัดได้แล้วลดน้อยลง และถ้าหากรัฐบาลไม่ยอดลดรายจ่ายในโครงการต่างๆ ลง ก็จะทำให้เกิดการขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น และอาจส่งผลร้ายแรงต่อการรักษาวินัยทางการคลังของประเทศ

ที่ผ่านมา มีผู้นำเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ไว้อย่างมากมาย แต่ก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปใดๆ ได้ แต่เกือบทันทีที่ปัญหามหาอุทกภัย พ.ศ. 2554 จบสิ้นลง ที่ประชุมครม. ในวันที่ 27 ธันวาคม ที่ผ่านมาได้มีมติเห็นชอบในหลักการที่จะโอนภาระหนี้สินกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยดูแล ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ กระทรวงการคลัง ธปท. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำการรวบรวมความเห็นเพื่อเสนอกลับมาที่ ครม.อีกครั้งในสัปดาห์นี้ (4 มกราคม)

การที่รัฐบาลมีมติหรือตัดสินใจเช่นนี้ก็สามารถเข้าใจได้โดยง่าย เพื่อเป็นการลดหนี้สาธารณะของประเทศที่มีอยู่เดิมลงจากที่อยู่ในระดับประมาณร้อยละ 41 มาที่ร้อยละ 30 ของ GDP หลังจากนั้น รัฐบาลก็จะสามารถก่อหนี้สาธารณะก้อนใหม่ที่ยังอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังของประเทศเดิม เพื่อใช้ตามข้อเสนอของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่ออนาคตประเทศ (กยอ.) ที่มีนายวีรพงษ์ รามางกูร เป็นประธาน ในการลงทุนโครงการต่างๆ เพื่อสร้างอนาคตประเทศและวางแผนการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน ซึ่งก็เป็นอีกเรื่องที่มีความสำคัญในช่วงเวลานี้

แต่ทั้งนี้ ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่า ครม. สามารถตัดสินใจมีมติเห็นชอบโดยหลักการที่จะโอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ให้แก่ ธปท. ได้โดยง่าย ก่อนที่จะทำการศึกษาหรือบอกได้ว่า ธปท. จะใช้วิธีการชำระหนี้อย่างไร และวิธีการดังกล่าวจะส่งผลเสียต่อประเทศน้อยกว่าการเลือกที่จะโอนหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ไปให้แก่ กระทรวงการคลัง ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการรักษาวินัยทางการเงินการคลังของประเทศไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
 
 
*"ต้อนรับปีใหม่กับปัญหาหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ" ตีพิมพ์ในคอลัมน์ทันเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์โพสทูเดย์ วันที่ 2 ม.ค. 2555